7 สิ่งที่คุณควรเริ่มทำในการทำงานเพื่อสร้างโอกาสที่จะก้าวหน้า

  • 23 พ.ค. 2566
  • 5382
หางาน,สมัครงาน,งาน,7 สิ่งที่คุณควรเริ่มทำในการทำงานเพื่อสร้างโอกาสที่จะก้าวหน้า

1. ทำในสิ่งที่คนอื่นไม่อยากทำ หรือเกี่ยงจะทำ

ถ้าคุณทำงานเหมือนกับที่ใครๆ เขาก็ทำกัน มันก็คงยากที่คุณจะโดดเด่นหรือแตกต่างจากคนอื่นเว้นเสียแต่ว่าคุณสามารถทำผลงานได้ดีเด่นเอามากๆ แต่ในทางกลับกัน ทุกออฟฟิศก็มักจะมีงานประเภทที่คนส่วนมากร้องยี้ บ้างก็แบบบ่นว่าอย่าเลย พยายามหาคนอื่นมาช่วยรับช่วงต่อ งานแบบนั้นแหละที่จะทำให้คนอื่นๆ มองคุณแตกต่างออกไป มันอาจจะฟังดูเหมือนคุณไปรับภาระที่คนอื่นไม่เอาอยู่ก็จริง แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ทำให้คุณได้มีโอกาสทำงานที่คนอื่นไม่ได้มีโอกาสทำ และนั่นคือส่วนที่ “แตกต่าง” ไปจากเดิมนั่นแหละ

2. มีไอเดีย แต่ไม่ใช่ว่ายึดติดกับตัวคุณเป็นสำคัญ

ทุกๆ คนล้วนมีไอเดีย และคุณเองก็อาจจะมีไอเดียที่ยอดเยี่ยมได้ แต่เมื่อเป็นเรื่องงาน สิ่งที่ควรให้ความสำคัญที่สุดคือไอเดียที่ทำให้งานสำเร็จ ฉะนั้นคุณควรเป็นคนที่ส่งเสริมและสนับสนุนไอเดียอะไรก็ได้ที่ทำให้งานสำเร็จ ไม่ใช่คิดแต่ว่าไอเดียของคุณดีที่สุด เยี่ยมที่สุด เพราะเมื่อคุณทำงานแล้วพร้อมจะโยนไอเดียของคุณทิ้งได้ทันทีเมื่อเพื่อนร่วมงานของคุณมีไอเดียที่ดีกว่า นั่นจะยิ่งทำให้คนอื่นๆ ให้ความเคารพคุณมากเสียกว่าการที่คุณดื้อดึงจะเอาไอเดียตัวเองให้ได้

3. หยุดเป็นส่วนหนึ่งของการซุบซิบนินทา

การนินทาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในทุกๆ ออฟฟิศ (มันมีเส้นแบ่งบางๆ ระหว่างการวิจารณ์กับการนินทาซึ่งจริงๆ เราแยกออกได้ถ้าไม่หลอกตัวเอง) และถ้าคุณเป็นส่วนหนึ่งของวงนินทาแล้ว นั่นก็เท่ากับคุณกำลังสร้างศัตรูและปิดวงความสัมพันธ์ไปโดยไม่รู้ตัว ทางที่ดีแล้วคุณควรจะอยู่ห่างๆ จากการซุบซิบนินทาเพราะคุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณกำลังนินทานั้นจะไปมีบทบาทหรือมีส่วนในการตัดสินใจเรื่องการให้โอกาสด้านหน้าที่การงานกันเมื่อไร

4. หยุดดูถูกหรือทำอะไรที่เกินไปกับผู้อื่น

เช่นเดียวกับข้อข้างบน คือคุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณกำลัง “งัดข้อ” “โจมตี” “กดดัน” “ล้อเลียน” “บีบคั้น” แบบเกินจำเป็นนั้นจะกลายเป็นคนที่อยู่ในตำแหน่งที่มีอิทธิพลกับคุณเมื่อไร ในชีวิตผมเองก็เคยเจอสถานการณ์กลับตาลปัตรอยู่ไม่น้อย เช่นเดียวกับหลายคนที่ผมรู้จักซึ่งวันหนึ่งเคยถูกบี้เสียแทบจมดินจากลูกค้า แต่แล้ววันหนึ่งก็กลับกลายเป็นว่าตัวเองได้ไปเป็นหัวหน้าของลูกค้าคนนั้นอีกที (ฟังดูตลกแต่ในหลายๆ วงการมักเกิดสถานการณ์แบบนี้กันอยู่บ่อยๆ) ซึ่งพอเป็นแบบนี้แล้ว อะไรๆ ที่คุณเคยทำไว้แบบ “ไร้เหตุผล” จะย้อนศรกลับมาทำร้ายคุณเองนั่นแหละ

5. อย่าเอาแต่สั่งงาน แต่จงช่วยและสอนงาน

ถ้าถามผมแล้ว คนที่ผมอยากให้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นผู้นำหรือเป็นหัวหน้าที่ต้องดูแลทีมนั้น ผมจะมองหาคนที่สอนงานเป็น คนที่ช่วยงานคนในทีมมากกว่าคนประเภทที่เอาแต่สั่งงานให้คนอื่นไปทำให้ได้ตามที่มอบหมาย เพราะคนประเภทแรกมักจะสามารถซื้อใจทีมงานและช่วยสร้างคนให้กับองค์กรในระยะยาวได้อีกเยอะ ต่างจากคนประเภทหลังที่บางทีอาจจะเป็นคนที่ทำลายกำลังใจของคนทำงานคนอื่นๆ เอาได้ง่ายๆ นอกจากนี้แล้ว คนประเภทแรกมักจะได้รับการยอมรับจากคนอื่นๆ มากเสียกว่าด้วย

6. วิเคราะห์ปัญหาสำคัญในภาพรวมและหาวิธีแก้ไข

คนที่ขึ้นมาเป็นหัวหน้าหรือผู้บริหารนั้นไม่ใช่มีหน้าที่ลงไปแก้และจัดการแบบ Micro-Management แต่อย่างใด (มันทั้งเสียเวลาและสร้างความรำคาญให้คนทำงานเสียอีกต่างหาก) คนที่จะขึ้นมาในบทบาทนี้จึงมักเป็นคนประเภทที่มองเห็นปัญหาในภาพใหญ่พร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึงแนวทางการแก้ปัญหาว่าจะทำได้อย่างไร (ไม่ใช่ประเภทจิ้มบอกว่ามีปัญหาแล้วก็จากไป) ซึ่งยิ่งคุณสามารถแสดงความสามารถนี้ได้เท่าไร คุณก็จะยิ่งเตะตาบรรดาผู้บริหารหรือหัวหน้างานมากขึ้นเป็นธรรมดา

7. รู้วิธีสร้างมูลค่าให้ตัวเองและทำให้งานของตัวเองเป็นที่พบเห็น

หนึ่งในปัญหาที่ผมมักพูดบ่อยๆ กับคนทำงานด้วยกันไม่ว่าจะเป็นน้องในทีมหรือแม้แต่บรรดา Supplier คือการสร้าง Value ให้กับตัวเองในการพูดคุย โต้ตอบ หรือแม้แต่ในรายงานต่างๆ ที่ส่งมาตามกำหนดการ ทั้งนี้เพราะถ้าเราทำงานตามระบบโดยไม่สามารถเพิ่มมูลค่าที่มีเฉพาะกับตัวเราได้แล้ว มันก็เหมือนกับว่าสามารถหาใครมาแทนที่เราก็ได้ไป นอกจากนี้แล้ว หลายๆ คนทำงานดีๆ อยู่ทีเดียวแต่กลับไม่ฉลาดในการโปรโมตงานของตัวเอง อาจจะไม่ต้องถึงขั้นอวดอ้างหรือโชว์จนน่ารำคาญ แต่อย่างน้อยคือการทำให้คนอื่นๆ ได้เห็นผลงานและคุณค่าของงานที่ทำนั่นแหละ

Credit:http://www.nuttaputch.com/7-things-to-do-for-promotion/

หางานตามสาขาอาชีพ

JOBBKK.COM © สงวนลิขสิทธิ์ All Right Reserved

jobbkk มีเพียงเว็บเดียวเท่านั้น ไม่มีเว็บเครือข่าย โปรดอย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้าง และหากผู้ใดแอบอ้าง ไม่ว่าทาง Email, โทรศัพท์, SMS หรือทางใดก็ตาม จะถูกดำเนินคดีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด DBD

Top